“การใช้เวลา 12 ชั่วโมงในออฟฟิศแล้วโพสต์ออนไลน์เป็นการโชว์พาวน์ (flex) นะ แต่การใช้เวลา 5 ชั่วโมงต่อวันในยิมแล้วให้ทุกคนในอินสตาแกรมและ TikTok รู้ก็เป็นการโชว์พาวน์ (flex) เหมือนกัน”
"ทำงานที่ออฟฟิศ 12 ชั่วโมงแล้วโพสต์ออนไลน์เป็นการโชว์พาวน์ (flex) นะ แต่การออกกำลังกายที่ฟิตเนส 5 ชั่วโมงต่อวันแล้วบอกทุกคนในอินสตาแกรมและ TikTok ก็เป็นการโชว์พาวน์ (flex) เหมือนกัน"
เป็นคำพูดของผู้สัมภาษณ์คนหนึ่งที่เข้าร่วมโครงการงานวิจัยเชิงชาติพันธุ์วิทยา (Ethnographic Project) ที่มุ่งศึกษาเกี่ยวกับวัฒนธรรมอินเทอร์เน็ตของ Gen Z สำหรับบริษัทในภาค Social Tech โดยใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นวัยรุ่นชาวอเมริกันและไนจีเรีย
การแชร์ภาพการทำงานบนโซเชียลมีเดียกลายเป็นการโชว์พาวน์ (flex) ซะแล้ว...
การแพร่ระบาดของโควิด-19 และปรากฏการณ์การลาออกจากงานโดยสมัครใจที่เพิ่มขึ้นหลังจากนั้น ทำให้หลายคนที่เคยพึ่งพารายได้จากเงินเดือนเกิดคำถามเกี่ยวกับ ‘ความหมายของการทำงานที่เปลี่ยนไป’ ในประเทศไทยเองก็มีช่วงที่เหล่าเมนเทอร์ผู้ประสบความสำเร็จบางส่วนสร้างรายได้หลักล้านต่อเดือนแล้วนำมาเผยแพร่ผ่านช่องทาง YouTube กันอย่างแพร่หลาย
แต่คำถามที่สำคัญขึ้นมาสำหรับเราในช่วงเวลานั้นคือ
- ไม่ใช่ว่า ‘เราจะหาเงินจากการทำงานได้มากขึ้นแค่ไหน’
(การทบทวนความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันที่ค้ำจุนความทุ่มเทในการทำงาน รูปแบบใหม่ๆในการทำให้การทำงานมีความหมาย)
- แต่เปลี่ยนเป็น ‘เราจะสร้างเงื่อนไขของชีวิตที่ต้องการได้ภายในเวลาที่เรามีหรือไม่’
(ไม่ใช่การเป็นอิสระจากการทำงาน แต่เป็นอิสรภาพในการสร้างเงื่อนไขของชีวิต รูปแบบใหม่ในการนิยามชีวิตของตัวเอง)
นั่นหมายถึงการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานของการเป็นอิสระจากการทำงาน น้ำหนักของการทำงานซึ่งเคยเป็นแกนหลักของชีวิตอาจลดลงจนถึงจุดที่เราไม่จำเป็นต้องตะโกนเรียกร้องเรื่อง Work-Life Balance อีกต่อไปนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น
สำหรับทฤษฎี Anti-work ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ข้อสันนิษฐานเบื้องต้นของโครงการงานวิจัยเชิงชาติพันธุ์วิทยาที่กล่าวถึงข้างต้นคือ
- ทำไมเราถึงต้องสมมติว่างานทุกอย่างมีความหมายในตัวเอง?
- เพราะมันมีรากฐานมาจากแนวคิดและระบบที่กว้างขวางที่นักทฤษฎีสังคมเรียกว่า ‘สังคมแห่งแรงงาน’
- นักปรัชญา องเดร กอร์ซ (André Gorz) ปี 1980 กล่าวว่า คนที่ทำงานน้อยหรือไม่ทำงานเลยกำลังกระทำการที่ขัดต่อประโยชน์ของชุมชน จึงไม่มีสิทธิ์ที่จะเป็นสมาชิกของชุมชน
จากการศึกษาภาคสนาม พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงกระแสความคิดดังนี้
- คนหนุ่มสาวจำนวนมากเริ่มตั้งคำถามกับสถาบันดั้งเดิม เช่น ครอบครัว รัฐบาล
- เรียกตัวเองว่า Soro Soke generation (รุ่นที่กล้าพูดความคิดเห็น)
- การพูดความคิดเห็นต่อหน้าผู้ใหญ่ในรุ่นพ่อแม่ถือเป็นการเสียมารยาท แต่เทคโนโลยีทำให้เป็นไปได้
- เกณฑ์สำคัญในการเข้าถึงชีวิตที่ดี (Good life) ที่โดดเด่นขึ้นมาคือ ‘การกิน’ และ ‘สุขภาพ’ โดยส่วนใหญ่แล้วมักรวมถึงการกินอยู่ที่ดีและดูดีแม้จะทำงานน้อยหรือไม่ทำงานเลยก็ตาม
การเปลี่ยนแปลงจากคำถามเดิมที่ว่า ‘ชีวิตที่ดีคืออะไร’
แน่นอนว่าผลการวิจัยนี้อาจจำกัดอยู่แค่กลุ่มคนหนุ่มสาวบางส่วนในสหรัฐอเมริกาและไนจีเรีย แต่ในอีกแง่หนึ่งก็เห็นได้ชัดว่ามันสอดคล้องกับภาพลักษณ์ของพนักงานออฟฟิศรุ่น MZ ที่เราเห็นกันบ่อยๆผ่านสื่อต่างๆ เช่น สื่อมวลชน เนื้อหาใน YouTube เป็นต้น จึงขออนุญาตนำมาแบ่งปันให้ได้อ่านกัน
บางทีเนื้อหานี้อาจเป็นเหตุผลที่ดีพอที่จะช่วยให้เราได้ทบทวนตัวเองและเพื่อนร่วมงานในวันแรงงานที่จะมาถึงนี้ก็เป็นได้
“ตอนนี้เรากำลังใช้ชีวิตที่ดีอยู่หรือเปล่า?”
ความคิดเห็น0