กูเกิลได้ประกาศเมื่อวันที่ 3 ที่ผ่านมาว่าจะนำเทคโนโลยี ‘พาสคีย์ (passkeys)’ มาใช้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าสู่ระบบแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องใส่รหัสผ่าน การยืนยันตัวตนโดยใช้รหัสผ่านเป็นมาตรฐานที่ใช้กันมานานหลายทศวรรษ แต่ก็มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยอย่างมาก เนื่องจากแฮ็กเกอร์สามารถขโมยรหัสผ่านของผู้ใช้หรือหลอกลวงให้ผู้ใช้ใส่รหัสผ่านในเว็บไซต์ปลอม (ฟิชชิง) ระบบพาสคีย์ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหานี้ โดยจะใช้การยืนยันตัวตนผ่านใบหน้า ลายนิ้วมือ หรือรหัส PIN เพื่อเข้าถึงคีย์การเข้ารหัสที่เก็บไว้ในอุปกรณ์ ซึ่งจะช่วยยืนยันตัวตนของผู้ใช้ ทำให้พาสคีย์ถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของ ‘จุดจบของยุครหัสผ่าน’
แต่การนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้กับผู้ใช้กูเกิล 4.3 พันล้านคนทั่วโลก (ข้อมูล ณ ปี 2564) นั้นไม่ได้มีความสำคัญเพียงแค่การพัฒนาความปลอดภัยทางไซเบอร์เท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญในฐานะเครื่องมือที่ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและการนำไปใช้จริงอย่างกว้างขวางของการยืนยันตัวตนแบบดิจิทัลโดยใช้ ‘ร่างกายมนุษย์’ การผสานรวมลักษณะเฉพาะของร่างกายบุคคลเข้ากับการจัดการข้อมูลเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แต่ก็จำเป็นต้องตระหนักถึงความเสี่ยงที่ร่างกายของบุคคลจะกลายเป็นสัญลักษณ์ดิจิทัล ซึ่งอาจนำไปสู่การควบคุมบุคคลอย่างไม่จำกัดในโลกแห่งความเป็นจริง
เมื่อเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ที่หญิงสาวชาวอิหร่านคนหนึ่งไปทำงานที่สวนสนุกในร่ม แต่ภาพของเธอที่ไม่ได้สวมฮิญาบถูกเผยแพร่บนโซเชียลมีเดีย ทำให้สวนสนุกถูกปิดและต่อมาทางอัยการได้เริ่มดำเนินการสืบสวน เจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยงานรัฐบาลอิหร่านได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่นว่า รัฐบาลสามารถระบุตัวบุคคลและปรับเงินหรือจับกุมได้ โดยใช้ฐานข้อมูลประชากรและเทคโนโลยีการจดจำใบหน้า ‘เพื่อระบุพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและผิดปกติ’ สตีเฟน เฟลด์สไตน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเฝ้าระวังของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ อดีต ได้เขียนไว้ในหนังสือของเขา ‘The Rise of Digital Repression’ ว่า จากการสำรวจ 179 ประเทศเป็นเวลา 8 ปี พบว่ามี 61 ประเทศที่ใช้เทคโนโลยีการจดจำใบหน้า ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าเทคโนโลยีการเฝ้าระวังแบบดิจิทัลอื่นๆ
ดังนั้น ในอนาคตจึงจำเป็นต้องตั้งคำถามเกี่ยวกับคุณค่าของเทคโนโลยีในอนาคตที่พยายามควบคุมร่างกายมนุษย์โดยตรง ในสองบริบท ดังนี้ ประการแรก เทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพและขยายขีดความสามารถของมนุษย์ได้อย่างไร? และประการที่สอง ในบริบทที่ใหญ่ขึ้น เช่น สังคมโลกาภิวัตน์ สังคมดิจิทัล และสังคมทุนนิยมขั้นสูง ความหมายของร่างกายมนุษย์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร?
ที่น่าขัดแย้งก็คือ มาตรฐานเดียวที่สามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้คือ ‘ความเป็นเอกลักษณ์ของร่างกายมนุษย์’ ความสามารถในการรับรู้ของร่างกายช่วยให้มนุษย์สามารถรับรู้และปรับตัวต่อสถานการณ์ใหม่ๆ รวมถึงพัฒนาความรู้และทักษะในการตอบสนองต่อสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันได้อย่างครบวงจร คำกล่าวของนักปรัชญาไมเคิล โพลาญี ที่ว่า “เรารู้มากกว่าที่เราสามารถพูดได้” ช่วยยืนยันว่าความรู้ของมนุษย์นั้นไม่เพียงแต่ไม่สามารถวัดได้เท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้และมีความสัมพันธ์กับบริบท ซึ่งเครื่องจักรไม่สามารถเข้าใจได้
มนุษย์สามารถพบกับความสุขได้โดยการตัดสินใจที่จะหัวเราะแม้ในสถานการณ์ที่น่าเศร้า และสามารถบรรเทาความวิตกกังวลได้ด้วยการเคลื่อนไหวและการเดิน การเรียนรู้ผ่านร่างกายมนุษย์มอบประสบการณ์ที่เข้มข้นเหนือกว่าจินตนาการหรือการรับรู้ และส่งผลต่อความคิดและทัศนคติของผู้คน ฮันส์ โมราเวค นักวิทยาศาสตร์ด้านหุ่นยนต์ชาวอเมริกัน ยอมรับถึงความขัดแย้งที่ว่า แม้คอมพิวเตอร์จะสามารถเอาชนะมนุษย์ในการเล่นหมากรุกหรือวิเคราะห์ข้อมูลได้เร็วกว่านักคณิตศาสตร์ชั้นนำ แต่ในเรื่องของ ‘การรับรู้’ และ ‘การใช้มือในการจัดการ’ ที่ค่อนข้างง่ายนั้น หุ่นยนต์ยังไม่สามารถใกล้เคียงกับความสามารถของมนุษย์ได้
ร่างกายมนุษย์มีแนวโน้มที่จะอยู่ในขอบเขตของข้อมูลมากขึ้นเรื่อยๆ ดังที่โดนา แฮร์ราเวย์ นักปรัชญาแห่งวิทยาศาสตร์ และนักทฤษฎีทางวัฒนธรรมคนอื่นๆ ได้ประกาศไว้ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 ว่า การไซบอร์กของมนุษย์ยุคใหม่กำลังดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีเข้าใกล้ร่างกายและผิวหนังของเรามากขึ้นเรื่อยๆ และในขณะเดียวกันก็สัญญาว่าจะทำให้เรากลายเป็น ‘มนุษย์ที่ดีกว่า’ แต่ก็ทำให้เราต้องพึ่งพาอุปกรณ์ใหม่ๆ ซึ่งจะทำให้เทคโนโลยีมีสิทธิ์เข้าถึงพฤติกรรมและความสัมพันธ์ในชีวิตประจำวันของเราในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน ดังนั้น จึงมีความสำคัญที่จะต้องดำเนินการป้องกันเพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของบุคคลและป้องกันการใช้เทคโนโลยีในทางที่ผิด นอกจากนี้ ยังต้องพิจารณาถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ร่างกายมนุษย์เป็นเครื่องมือในการยืนยันตัวตนแบบดิจิทัล ซึ่งรวมถึงความเสี่ยงที่จะลดทอนความเป็นตัวตนและความเป็นอิสระของมนุษย์
ในยุคที่เราได้ยินและพูดถึงเรื่องราวของเครื่องจักรและปัญญาประดิษฐ์ที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงโลกไปตลอดกาล เราจำเป็นต้องจดจำว่า การแสดงออกทางกายภาพผ่านร่างกายของเราทำให้ความสามารถในการเลียนแบบสติปัญญาของมนุษย์โดยเครื่องจักรเป็นเรื่องยาก
เราควรจะใช้สัญชาตญาณและลดการใช้เหตุผลลง และออกไปสัมผัสประสบการณ์ในโลกภายนอกด้วยร่างกายและประสาทสัมผัสของเรามากขึ้น ด้วยวิธีนี้ เราจะสามารถตระหนักถึงความเป็นเอกลักษณ์ของร่างกายมนุษย์ในโลกที่กำลังถูกดิจิทัลไลซ์มากขึ้นเรื่อยๆ และเข้าใจถึงความสำคัญของตัวตนในฐานะมนุษย์ได้ดียิ่งขึ้น
*บทความนี้เป็นต้นฉบับจากคอลัมน์ชื่อในหนังสือพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์วันที่ 8 พฤษภาคม 2566
อ้างอิง
พลังแห่งการไม่คิด
ความคิดเห็น0